วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2561

กิจกรรม (Activity)


1. สืบค้นจากหนังสือหรือในระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เรื่อง การพัฒนามนุษย์ การศึกษาการเรียนรู้และหลักสูตร
ตอบ  มนุษย์จะมีการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา และหลายครั้งของการเรียนรู้เหล่านั้นเกิดจากความไม่ได้ตั้งใจ และเกิดขึ้นภายนอกสถาบันการศึกษา นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่า มนุษย์คนนั้นเห็นว่า การเรียนรู้สิ่งใดมีประโยชน์และมีคุณค่า และการมีคุณค่าของการเรียนรู้จะขึ้นอยู่กับบุคคลแต่ละคน กลุ่มคน เวลา และ สถานการณ์ในการนำความรู้ที่เกิดจากการเรียนรู้นี้ไปใช้ ทั้งหมดทั้งสิ้น คือ กระบวนการของการศึกษา วัตถุประสงค์ของการศึกษาเรียนรู้นั้นขึ้นอยู่กับบุคคล บางคนเรียนรู้เพื่อมีชีวิตรอด (Survive) บางคนเรียนรู้เพื่อให้มีชีวิตที่เจริญก้าวหน้าขึ้น (Thrive) แต่ก็น่าเสียดายที่ว่า โอกาสที่คนจะเรียนรู้และรับประสบการณ์ในการเรียนรู้นั้นไม่เพียงพอ และไม่เท่าเทียมกัน (Gordon & Rebell, 2007) หลักสูตรจะช่วยแก้ปัญหานั้นได้อย่างไร
        การจัดการการเรียนรู้ในระบบการศึกษาในทุกวันนี้ ขึ้นอยู่กับว่า มีอะไรที่เป็นความรู้อยู่บ้าง สิ่งนั้นก็จะถูกถ่ายทอดไปยังผู้เรียน ในหลักสูตรที่เน้นตัวเนื้อหาวิชาเป็นศูนย์กลาง (Subject-Centered Curriculum) จะมุ่งเน้นความรู้เฉพาะทางที่อยู่ในเนื้อหาทางวิชาการของวิชานั้นๆ แต่เราในฐานะนักการศึกษา ต้องจดจำไว้เสมอว่า การศึกษามิใช่เป็นเพียงแค่กระบวนการเผยแพร่สาระความรู้ที่มีอยู่เท่านั้น แต่กระบวนการทางการศึกษาที่ดีต้องเน้นให้ผู้เรียนได้นำสาระทางวิชาการที่ได้เรียนรู้นั้นไปเพื่อได้รับการพัฒนาและนำไปแสวงหาหรือเพื่อการค้นพบความรู้ใหม่ (Wraga, 2009) การปรับเปลี่ยนมุมมองในสิ่งที่เรียกว่า ความรู้ (Knowledge) และ มาตรฐานและข้อบังคับ (Standards and Regulations) รวมถึงการขยายตัวอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในความรู้อย่างกว้างขวาง การเคลื่อนย้ายถิ่นฐานของประชาชนเป็นอีกสาเหตุที่ก่อให้เกิดวัฒนธรรมโลก และเศรษฐกิจโลกขึ้น การกระจายค่านิยม และความก้าวหน้าของความเป็นประชาธิปไตย ล้วนเป็นประเด็นที่ต้องเรียนรู้ และการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้เห็นชัดเจนว่า การศึกษานั้นมิใช่มีกรอบจำกัดเพียงแค่คำว่า “โรงเรียน” เท่านั้น แต่ค่านิยมและความเชื่อที่ว่าโรงเรียนคือสถานที่ที่สร้างสรรค์การเรียนรู้ และเพื่อให้ “โรงเรียน” เป็นสถานที่ที่ให้การศึกษาและเป็นแหล่งการเรียนรู้กับคนให้มากที่สุด ครอบคลุมสิ่งซึ่งเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หลักสูตรเป็นเสมือนเข็มทิศในการเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คน และเป็นสิ่งที่กำหนดและสะท้อนกลับแนวความคิดการเรียนรู้ รวมถึงกิจกรรมทางการศึกษาให้กับผู้เรียน (Sowell, 2000)
        จึงจำเป็นที่โรงเรียนต้องพัฒนาหลักสูตรเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต ในอดีต หลักสูตรทางการศึกษาและการเรียนรู้ เป็นเพียงกระบวนการถ่ายทอดทัศนคติ ความรู้ และทักษะ จากผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่าและมีการศึกษาสูงกว่า ไปสู่คนที่มีประสบการณ์และการศึกษาที่ต่ำกว่า เท่านั้น ประกอบกับโดยทั่วไปแล้ว สังคมตระหนักและให้ความสำคัญ ว่า โรงเรียนเป็นสถาบันการศึกษาของสังคมเพียงแห่งเดียวที่ให้โอกาสทางการเรียนรู้กับบุคคลในชาติ ทั้งที่การศึกษาเรียนรู้อาจเกิดขึ้นจากภายนอกห้องเรียนและอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ดังนั้นทฤษฎีการจัดการศึกษาจึงมิได้มุ่งเพียงแค่ทฤษฎีเกี่ยวกับในระบบโรงเรียน หากแต่ต้องรวมถึงทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันกับสมาชิกโดยรวมของสังคม (Gordon & Rebell, 2007) การกำหนดหลักสูตรจะต้องคำนึงถึงหลักการศึกษาพื้นฐานที่ว่า การศึกษาเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นตลอดชีวิต และในทุกสถานการณ์ที่คนมีชีวิตอยู่ร่วม
หลักปรัชญาที่ควรคำนึงในการกำหนดหลักสูตร
        ในการร่างหลักสูตรการเรียนการสอน ควรต้องคำนึงถึงปรัชญาของโลก ของประเทศ และค่านิยมต่างๆ ความต้องการของสังคม และเป้าหมายของสังคมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ปรัชญาของโลก (World Philosophy) ที่เป็นพื้นฐานในการกำหนดทิศทางของการจัดการศึกษา (Webb, Metha & Jordan, 2003) ได้แก่
    1. Ontology (Metaphysics): การเรียนรู้ของจริงต่างๆ ที่อยู่ในโลกและสิ่งแวดล้อมรอบตัวโดยผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า
    2. Epistemology: การเรียนรู้ศาสตร์ต่างๆ
    3. Axiology: การเรียนรู้ในเรื่องของความดี ความสวยงาม ค่านิยม โดยมาผสมผสานกับ Educational Domains เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้เป็นบุคคลที่พึงประสงค์ อันได้แก่
    1. Cognitive Domain: มุ่งพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนทางด้านความรู้ และสติปัญญา
    2. Affective Domain: มุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดทัศนคติที่ดี เกิดความรักในสิ่งที่ได้เรียนรู้และการเรียนรู้
    3. Psychomotor Domain: มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เกิดทักษะ ความเชี่ยวชาญในสิ่งที่ได้เรียนรู้
        หากเราลองเปรียบเทียบกับองค์ 4 ของการศึกษาไทย กล่าวคือ พุทธิศึกษา จริยศึกษา หัตถ ศึกษา และพลศึกษา เราก็เห็นได้ว่ามีพื้นฐานที่ไม่ต่างกัน ซึ่งก็เป็นที่มาของหลักสูตรปัจจุบันที่เน้นให้ ผู้เรียนเป็นคนเก่ง เป็นคนดี และเป็นผู้ที่อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ดังนั้นข้อสำคัญในการกำหนดหลักสูตร คือ ต้องคำนึงถึงการเรียนการสอนที่เกิดขึ้นในโรงเรียนและเตรียมตัวผู้เรียนที่จะเรียนรู้ประสบการณ์ต่างๆ นอกโรงเรียนได้อย่างมีความสุข เป็นที่ยอมรับของคนในสังคม Dewey (1916) เห็นความสำคัญของการเรียนรู้ที่เกิดจากประสบการณ์นอกโรงเรียน โดย Dewey ได้ระบุว่า การศึกษาแบ่งได้เป็น 2 ประเภท กล่าวคือ การศึกษาที่ตั้งใจให้เกิดการเรียนรู้ (Deliberate Education) และการศึกษาที่เกิดจากสถาณการณ์หรือเรียนรู้จากสิ่งอื่นๆ (Incidental Education) นักการศึกษามักจะมุ่งเน้นการจัดการศึกษาและพัฒนาหลักสูตรเพื่อตอบสนองเพียงการศึกษาประเภทแรก และลืมนึกถึงการเตรียมผู้เรียนในการที่จะต้องพบกับสถาณการณ์ที่จะต้องเผชิญและเรียนรู้กับการศึกษาประเภทที่สอง หลักสูตรแม้จะจัดไว้สำหรับนักเรียนในระบบโรงเรียน แต่ก็ต้องเปิดกว้างเพื่อให้เกิดการเรียนรู้นอกชั้นเรียนหรือนอกโรงเรียน เพราะได้มีการระบุไว้อย่างชัดเจนว่า การเรียนรู้นอกห้องเรียนนั้น มีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในระบบโรงเรียนของผู้เรียน (Anyon, 2005; Barton, 2003; Gordon, Bridglall & Meroe, 2005) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่สังคมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งส่วนหนึ่งมีผลมาจากการเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่ไม่หยุดนิ่ง หลักสูตรและผู้ที่รับผิดชอบในการพัฒนาหลักสูตร ในการกำหนดมาตรฐานของหลักสูตร และกำหนดตัวมาตรฐานต่างๆ เพื่อพัฒนาระบบการศึกษา จึงควรได้รับการปฏิรูป หากโรงเรียนและบุคคลที่กำหนดกลไกทางการศึกษาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงให้ทันกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการเรียนรู้แล้ว การเรียนรู้ก็คงทิ้งห่างระบบโรงเรียนไปไกล (Collins & Halverson, 2009) การขยายตัวของแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ ควรได้รับการคำนึงถึงในการกำหนดหลักสูตรการเรียนรู้ในระบบโรงเรียน เป็นต้นว่า การจัดการเรียนที่บ้าน (Home Schooling) การเรียนรู้ ณ ที่ทำงาน (Workplace Learning) การศึกษาทางไกล (Distance Learning) ศูนย์การเรียนรู้ (Learning Centers) โทรทัศน์เพื่อการศึกษา (Educational TV) Video และ Software ต่างๆ รวมถึง Websites ใน Internet สิ่งเหล่านี้มันบอกได้ถึง วิธีการและกระบวนการยุคใหม่แห่งการเรียนรู้และระบบใหม่ของการศึกษา (Collins & Halverson, 2009)

ใครควรเป็นผู้กำหนดหลักสูตร
        การขยายขอบเขตของหลักสูตรละการจัดการการเรียนรู้ ควรต้องคำนึงสำหรับผู้รับผิดชอบในการออกแบบและกำหนดหลักสูตร ไม่ว่าจะเป็นในเรื่อง ความรับผิดชอบ (Responsibility)ในการจัดการการศึกษา และ ความคาดหวัง (Expectations) ที่ต้องได้รับการพัฒนาจนไปถึงระดับปัจเจกบุคคล เนื้อหาสาระ (Content) รวมถึงกระบวนการฝึกฝน ความมีวินัยในการเรียน และ การเรียนรู้ที่ว่าจะต้องเรียนอย่างไร วิธีสอน (Pedagogy) ที่จะต้องพัฒนาจากการฝึกฝน จนมีความรู้ความสามารถและสามารถมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่นและสิ่งรอบตัว และสถานที่
        นักการศึกษาต่างเข้าใจดีว่า หลักสูตรที่ดีนั้น เกิดจากกระบวนการที่ดำเนินอย่างต่อเนื่องของการคิด การวิจัย และการประเมินจากผลสะท้อนกลับของการนำหลักสูตรไปใช้ (Tyler, 1949) ดังนั้น การที่จะได้มาซึ่งผลของความคิดที่ครอบคลุม การวิจัยที่เชื่อถือและยืนยันได้ และผลสะท้อนกลับของการใช้หลักสูตร จึงต้องเกิดจากบุคคลที่หลากหลาย แต่ละบุคคลจากแต่ละฝ่ายจะมีแง่คิด มุมมองและความตั้งใจ รวมถึงเป้าหมายในการพัฒนาคนผ่านกระบวนการของการศึกษาอย่างเป็นรูปธรรม การร่างและ การออกแบบหลักสูตร รวมถึงการพิจารณายอมรับในหลักสูตรไม่สามารถจำกัดอยู่เพียงแค่แวดวงของครู ผู้บริหารการศึกษา หรือผู้เชี่ยวชาญด้านหลักสูตรเท่านั้น การตัดสินใจในการกำหนดหลักสูตร จะเกิดขึ้นภายใต้บริบทที่เป็นปัจจุบันของชุมชน จังหวัด ภาค หรือประเทศใดประเทศหนึ่งเท่านั้น (Webb, Metha & Jordan, 2003) หลักสูตรที่ดี และเป็นที่ยอมรับของสถานที่หนึ่ง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ได้ดีและเกิดสัมฤทธิผลที่ดีกับอีกสถานที่หนึ่ง หรือที่เดี่ยวกัน แต่ในเวลาที่ต่างกันหรือใช้กับผู้เรียนต่างกลุ่มกัน
        วัตถุประสงค์ วิธีการ ความแข็งแกร่งและความสำเร็จของหลักสูตร ควรที่จะได้รับอิทธิพลมาจากบุคคลในหลากหลายอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลในสายการเมืองการปกครอง สายสังคมศาสตร์ สายเศรษฐศาสตร์ นักการศึกษาเอง หรือแม้กระทั่งบุคคลในสายการศาสนาก็ตาม (Tietelbaum, 1998) ผู้กำหนดหรือผู้ใช้หลักสูตรควรต้องได้รับคำปรึกษาทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม และทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ จากบุคคลตั้งแต่ ผู้ปกครอง กลุ่มชมรมหรือสมาคมในชุมชน ครู คณะกรรมการบริหารโรงเรียน ข้าราชการทางการศึกษาของอำเภอและจังหวัด คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ รายงานการศึกษาต่างๆ รัฐบาลของชาติ องค์กรอาชีพต่างๆ ตลอดจนเป้าหมายและมาตรฐานของบุคคลที่พึงประสงค์ในระดับชาติ ดังจะเห็นตัวอย่างได้จากการที่บริษัทเอกชนหลายบริษัทในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เข้าร่วมร่างและกำหนดหลักสูตรการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัย บริษัทเหล่านี้จะเป็นผู้ระบุถึงศักยภาพ ความรู้ ความสามารถและทักษะในการทำงาน ที่ทางบริษัทต้องการ และมหาวิทยาลัยก็จะจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ตรงตามความต้องการ ส่งนักศึกษาเข้าเรียนรู้งานและฝึกงานในบริษัทเหล่านั้น เมื่อสำเร็จการศึกษา นักศึกษาก็จะมีทักษะตรงตามที่บริษัทต้องการ และพร้อมเข้าทำงานในบริษัทเหล่านั้นได้เลย โดยที่บริษัทก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมพนักงาน
        การกำหนดหลักสูตรที่ดี ก็จะเป็นเสมือนแสงไฟที่ส่องทางไปสู่ความสำเร็จของบุคคลที่เดิน ตามแสไฟที่ส่องนำทางนี้ แสงไฟจึงต้องส่องแสงไปสู่เป้าหมายของการพัฒนาคน มิใช่ส่องไปแบบไร้ทิศทาง อย่างไรก็ตาม หลักสูตรต้องเป็นที่เข้าใจได้ (Comprehensiveness) สำหรับผู้ใช้หลักสูตร ต้องมีความเป็นเหตุเป็นผล (Cogency) มีความเกี่ยวเนื่องเกี่ยวพัน (Coherency) และมีความกลมกลืน (Consonance) ทั้งในส่วนของวิชาเดียวกันที่สอนในชั้นที่ต่างระดับกัน ที่เรียกว่า การกลมกลืนและเกี่ยวพันในแนวตั้ง และในส่วนของวิชาที่ต่างกัน แต่สอนในระดับเดียวกัน คือในแนวนอน รวมถึงความเกี่ยวพันกับโครงสร้างและความต้องการของสังคม เพื่อให้ผู้เรียนได้ใช้ประโยชน์ของการเรียนรู้อย่างแท้จริงในชีวิตประจำวัน

2. ศึกษาทำความเข้าใจเพิ่มเติมจาก สุเทพ อ่วมเจริญ การพัฒนาหลักสูตร : ทฤษฎีและการปฏิบัติ การพัฒนาหลักสูตร : นิยาม ความหมาย
ตอบ  สุเทพ อ่วมเจริญ (2555:4) สรุปว่าหลักสูตร หมายถึง ศาสตร์ที่เรียนรู้เพื่อนำไปกำหนดวิถีทางที่นำไปสู่การจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียนเพื่อการเรียนรู้
           กระบวนการพัฒนาหลักสูตร (สามเหลี่ยมใหญ่) จะประกอบด้วยขั้นตอนในการจัดทำหลักสูดร (สามเหลี่ยมเล็กๆ 4 ภาพ) โดยประกอบด้วย 4 ขั้นตอนดังนี้
                1.สามเหลี่ยมแรก การวางแผนหลักสูตร (Curriculum Planning) อาศัยแนวคิดพัฒนาหลักสูตรของไทเลอร์คำถามที่หนึ่งคือ มีจุดมุ่งหมายอะไรบ้างในการศึกษาที่โรงเรียนต้องแสวงหา เพื่อนำไปวางแผ่นหลักสูตร กำหนดจุดหมายหลักสูตร
                2. สามเหลี่ยมรูปที่สอง การออกแบบ (Curriculum Design) นำจุดหมายและจุดมุ่งหมายของหลักสูตรมาจัดทำกรอบการปฏิบัติ ม่งเน้นให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาตามกระบวนการของหลักสูตร สอดคล้องกับคำถามที่สองของไทเลอร์คือมีประสบการณ์ศึกษาอะไรบ้างที่โรงเรียนควรจัดเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายในการศึกษา การออกแบบหลักสูตรเพื่อให้มีจัดกิจกรรมหรือประสบการณ์ที่ตอบสนองจุดหมายและจุดมุ่งหมายของหลักสูตร
               3.สามเหลี่ยมรูปที่สาม การจัดระบบหลักสูตร (Curriculum Organize) จัดหลักสูตรเพื่อตอบสนองการวางแผนหลักสูตร สองคล้องกับคำถามที่สามของไทเลอร์ คือ จัดประสบการณ์เรียนรู้อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ การจัดระบบหลักสูตรให้ได้ประสิทธิภาพมีความหมายรวมถึงการบริหารที่สนับสนุนการจัดการเรียนรู้ และรวมถึงการนิเทศการศึกษา
                4.สามเหลี่ยมรูปที่สี่ การประเมิน (CurriculumEvaluation) ประเมินทั้งระบบหลักสูตรและผลการเรียนรู้ตามหลักสูตร สอดคล้องคำถามที่สี่ของไทเลอร์ คือ ประเมินประสิทธิผลของประสบการณ์ในการเรียนอย่างไร
             พื้นฐานแนวคิด SU Model มาจากการพัฒนาสามเหลี่ยมมุมบน มุ่งเน้นให้การศึกษา 3 ส่วน คือ จริยศึกษา เป็นการอบรมศีลธรรมอันดีงาม พุทธิศึกษา ให้ปัญญาความรู้ และพลศึกษา เป็นการฝึกหัดให้มีร่างกายสมบูรณ์ เมื่อนำมาใช้จะได้ว่า เป้าหมายหมายของสูตรจะมุ่งเน้นให้เกิด ความรู้ (knowledge) พัฒนาผู้เรียน (leader) และสังคม (society) มุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนเป็นคนที่ “เก่ง ดี มีสุข” การพัฒนาหลักสูตรจะประกอบไปด้วย 3 ด้าน คือ ด้านปรัชญาการศึกษา ด้านจิตวิทยา และด้านสังคม มีการพัฒนาหลักสูตรจากรูปสามเหลี่ยมไปสู่การวางแผนหลักสูตร การออกแบบหลักสูตร การนำหลักสูตรไปใช้ และการประเมินหลักสูตร ดังภาพ SU Model มีขั้นตอนดังนี้

        1.เริ่มจากวงกลม หมายถึง จักรวาลแห่งการเรียนรู้ รูปสามเหลี่ยมด้านเท่า หมายถึง กระบวนการพัฒนาหลักสูตร
        2.ระบุพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตร ในพื้นที่วงกลมซึ่งมีพื้นฐานหลากหลายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาหลักสูตร ระบุพื้นฐาน 3 ด้าน
(ปรัชญาจิตวิทยาสังคม)ลงในช่องว่างนอกรูปโดยกำหนดให้ด้านสามเหลี่ยมระหว่างความรู้กับผู้เรียนมีพื้นฐานสำคัญคือ พื้นฐานด้านปรัชญา  ด้านสามเหลี่ยมระหว่างผู้เรียนกับสังคมมีพื้นฐานผู้เรียนกับสังคมมีพื้นฐานสำคัญคือ พื้นฐานด้านจิตวิทยา และด้านสามเหลี่ยมระหว่างสังคมกับความรู้มีพื้นฐานสำคัญคือ พื้นฐานด้านสังคม
        3.พื้นฐานด้านปรัชญา ได้แนวคิดว่าการพัฒนาหลักสูตรที่มีจุหมายของหลักสูตรที่มุ่งเน้นความรู้ มาจากพื้นฐานสารัตถนิยมกับปรัชญานิรันตรนิยม การพัฒนาหลักสูตรที่มีจุดมุ่งหมายของหลักสูตรที่มุ่งเน้นผู้เรียน มาจากพื้นฐานปรัชญาอัตถิภาวะนิยม และการพัฒนาหลักสูตรที่มีจุดหมายของหลักสูตรที่มุ่งเน้นสังคม มาจากพื้นฐานปรัชญาปฏิรูปนิยม
        4.กำหนดจุดกึ่งกลางของด้านสามเหลี่ยมทั้งสามด้าน เพื่อแทนความหมายว่าในการพัฒนาหลักสูตรต้องใช้ข้อมูลพื้นฐานด้านปรัชญา จิตวิทยา และสังคม
        5.พิจารณากระบวนการพัฒนาหลักสูตร นำแนวคิดกระบวนการพัฒนาหลักสูตรมากำหนดชื่อสามเหลี่ยมเล็กๆทั้งสี่รูป ได้แก การวางแผนหลักสูตร การออกแบบหลักสูตร การจัดหลักสูตร และการประเมินหลักสูตร
        หลักสูตรที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมีพื้นฐานที่สำคัญจากปรัชญาพิพัฒนาการ ที่มีความเชื่อว่าสาระสำคัญและความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลายนั้นไม่ได้หยุดนิ่ง ฉะนั้นวิธีการทางการศึกษาจึงต้องพยายามปรับปรุงให้สอดคล้องกับกาลเวลาและสภาพแวดล้อมอยู่เสมอ

3. อุปมาอุปมัย : เมื่อการศึกษาเปรียบได้กับเครื่องมือพัฒนามนุษย์ หลักสูตรเปรียบได้กับสิ่งใด
ตอบ    หลักสูตรเปรียบเสมือนสายน้ำ น้ำเปรียบเสมือนความรู้
          สายน้ำมีการเคลื่อนตัวตลอดเวลา สายน้ำแยกย่อยเป็นแม่น้ำหลายสาย สายน้ำแยกย่อยเป็นคูคลองมากมาย สายน้ำคดเคี้ยวเลี้ยวไปตามสภาพภูมิประเทศและเหตุการณ์
          สิ่งมีชีวิตที่อยู่ใกล้น้ำก็จะพบว่ามีความเจริญงอกงามดี สภาพพื้นที่ ที่ต่างกันมีความจำเป็นที่ต้องการน้ำต่างกันด้วยเช่นกัน
          สายน้ำอาจเกิดขึ้นจากรูปแบบทางธรรมชาติ   สายน้ำอาจเกิดขึ้นจากความต้องการของมนุษย์  มนุษย์ขุดคลองเพื่อใช้ทำการเกษตร  มนุษย์รู้จักการทำชลประทาน การสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำ  ไม่ว่าจะการสร้างเขื่อนเพื่อการชลประทานหรืออย่างไร มนุษย์รู้จักการจัดการกับระบบเพื่อให้ระบบจัดการกับตนเองและได้ประโยชน์สูงสุด ระบบในการจัดการนี้จึงเปรียบเสมือนหลักสูตรที่สร้างขึ้นจากความต้องการจำเป็นในเหตุผลต่างๆนานาประการ
          เราอาจเรียกต่างกันว่าสายน้ำ ลำน้ำ คูน้ำ ห้วย หนอง คลอง บึง  ไม่ว่าจะเรียกว่าเป็นสิ่งใดก็ตาม แต่ก็จะประกอบไปด้วยปัจจัยสำคัญก็คือน้ำ  น้ำเป็นสิ่งสำคัญในการใช้ชีวิต หากเปรียบดั่งความรู้ ความรู้ก็เป็นสิ่งสำคัญในการใช้ชีวิต ซึ่งหากปราศจากความรู้ ชีวิตคงไม่สามารถก้าวเดินไปเบื้องหน้าได้อย่างมั่นคง
          หลักสูตรเป็นดั่งสายน้ำที่จัดรูปไปตามริ้วขบวนที่ความต้องการทางธรรมชาติเป็นผู้กำหนด สายน้ำแต่ละสายลดเลี้ยวไปในที่ๆต่างกันไปตามแรงสภาวะของธรรมชาติ คล้ายกับการออกแบบหลักสูตรเพื่อเป็นไปตามความต้องการของเป้าประสงค์ อาทิ การเรียนรู้แบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง หรือการเรียนรู้แบบสังคมเป็นศูนย์กลางเป็นต้น  เมื่อธรรมชาติได้กำหนดทิศทางของสายน้ำแล้ว น้ำที่ไหลเรื่อยไปจึงถูกนำไปใช้เพื่อก่อเกิดประโยชน์สูงสุด การนำหลักสูตรไปใช้หรือการที่น้ำถูกนำไปใช้ประโยชน์จึงอยู่ในมิติความหมายเดียวกัน เมื่อถึงขั้นตอนแห่งการประเมินผล ในทางหลักสูตรอาจดูจากผลที่ได้จึงสามารถประเมินค่าในการใช้หลักสูตรนั้นๆออกมาได้  หากแต่การเปรียบประเมินผลถึงสายน้ำแล้วคงไม่พ้น ดอก หรือผลของต้นไม้ในธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย   ต้นไม้แต่ละต้นยังเปรียบเสมือนผู้เรียนแต่ละคน  ต้นที่รับน้ำน้อยอาจมีลำต้นไม่ได้มาตรฐานหรือเกิดลักษณะบกพร่องไป  นอกเสียจากว่าต้นไม้บางประเภทอาจมีความต้องการบางอย่างที่ต่างออกไป แต่อย่างไรก็แล้วแต่คงไม่มีสิ่งใดในโลกที่ไม่ต้องการน้ำ เพียงแต่มากน้อยต่างกันไปตามองค์ประกอบของตนเท่านั้น
   บทสรุปของการอุปมาอุปมัย  จากที่กล่าวมาข้างต้นสายน้ำสามารถเปรียบได้ถึงหลักสูตรที่จะนำพาน้ำอันเปรียบเสมือนความรู้ที่ถูกจัดอยู่ในกรอบกำหนดของขอบเขตสิ่งที่ไหลไปอย่างเป็นระบบมีและจุดหมายปลายทาง
          การออกแบบจะเป็นไปตามความต้องการของสภาพแวดล้อมและความต้องการนั้นๆ
          ส่วนการประเมินผลสามารถรับรู้ได้จากผลของพืชและสิ่งมีชีวิตที่ได้ประโยชน์จากน้ำและสายน้ำนี้ หากมีความอุดมสมบูรณ์ดีหรือมีความผิดปกติบางประการอาจตรวจสอบได้จากน้ำที่ให้ประโยชน์หรือตรวจสอบจากดินและสภาพแวดล้อมรวมถึงการปรับปรุงแก้ไขไปตามความถูกต้องเพื่อให้เกิดประโยชน์และเป้าหมายสูงสุดของความเจริญงอกงามนั่นเอง
          สายน้ำ  เปรียบเสมือน  หลักสูตร
          น้ำ  เปรียบเสมือน  ความรู้
          พืชพรรณและสิ่งมีชีวิต  เปรียบเสมือน  ผู้เรียน
          ดอกผลที่ได้       เปรียบเสมือน   ผลที่ได้จากการประเมิน
          หลักสูตรเปรียบได้ดังแผนที่ ช่วยแนะแนวปรับชี้จุดหมาย
สร้างถูกช่วยนำทางให้รอดตาย จักกลับร้ายหากสร้างผิดคิดใคร่ครวญ”
          วิเคราะห์ความ
                เซเลอร์ และอเล็กซานเดอร์(Saylor and Alexander 1981:5) กล่าวว่าหลักสูตรเปรียบเสมือนแผนการเดินทางและตารางที่ยืดหยุ่นได้ในการดำเนินการศึกษา หลักสูตรจะถูกสร้างขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญทางด้านเนื้อหา และวิชาการทางด้านการศึกษาระดับชั้นต่างๆรวมอยู่ด้วย  ดังคำกล่าวที่ปรากฏจะเห็นได้ว่า หลักสูตรคือสิ่งชี้นำทางการศึกษา ช่วยให้ผู้เรียนมีเป้าหมายและทิศทางที่ถูกต้องในการศึกษาเล่าเรียน ตามความคิดของข้าพเจ้าจึงเปรียบหลักสูตรเสมือนแผนที่ที่จะช่วยบอกทิศทางในการเดินทางให้ไปสู่จุดหมายได้โดยไม่หลงออกนอกพื้นที่ จัดเป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะช่วยให้รู้และเข้าใจเส้นทางการเดินทางได้โดยเที่ยงตรง
                นับเนื่องตั้งแต่การเริ่มสร้างหลักสูตรนั้นคล้ายคลึงกันกับการสร้างแผนที่ นั่นคือ ต้องประกอบไปด้วยผู้ที่เกี่ยวข้อง และเชี่ยวชาญจากหลายฝ่าย(Team)มาช่วยกันพิจารณา(Curriculum Planning)สร้างหลักสูตรขึ้น ซึ่งแน่นอนเหลือเกินว่าหลักสูตรที่ดีนั้นย่อมไม่สามารถสร้างขึ้นโดยลำพังได้จากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เนื่องเพราะหลักสูตรนั้นต้องสร้างให้เหมาะสมกับสภาพชุมชน ท้องถิ่น ความต้องการในขณะนั้น เช่นเดียวกันกับแผนที่ที่ต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบและใช้ผู้รู้จากหลายฝ่ายในการจัดทำขึ้น  การตั้งเป้าหมาย(Goal)ของหลักสูตรจึงเปรียบเสมือนกับการตั้งเป้าหมายใหญ่หรือสถานที่ที่จะไปในแผนที่ เนื้อหาที่ปรากฏในหลักสูตรก็เสมือนรายละเอียดของหลักสูตรที่ช่วยขยายความให้รายละเอียดที่ชัดเจนโดยอาจปรากฏขึ้นทั้งในรูปแบบของวัจนและอวัจนภาษา (Verbal and Non-Verbal Language)
                จากนั้นจึงเป็นขั้นของการนำหลักสูตรไปใช้ (Curriculum Implementation) ซึ่งเปรียบกับการใช้แผนที่ในการเสาะแสวงหา Goal ที่ได้ตั้งไว้ หากผู้ใช้สามารถไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ได้จริงตามเกณฑ์ที่กำหนดนั่นย่อมเป็นการรับประกันคุณภาพที่ปรากฏของแผนที่ หรือหากเกิดข้อผิดพลาดจะได้หาแนวทางแก้ไข พัฒนาเพิ่มเติมขึ้นจากเดิม ซึ่งแนวคิกเหล่านี้เชื่อมโยงกับ ขั้นตอนในการประเมินผลหลักสูตร (Curriculum Evaluation) เพื่อให้ผู้ใช้หลักสูตรได้แก้ไข พัฒนาปรับปรุงให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ยังประโยชน์ทั้งต่อตนเอง ชุมชน สังคม และประเทศชาติได้อย่างดีที่สุด
โดยขอสรุปแนวความคิดหลักสูตรเปรียบได้ดังแผนที่เป็นตารางดังนี้
ความเปรียบเหมือน
หลักสูตร
แผนที่
1. คณะหรือองค์กรในการจัดทำ เช่น คณะผู้บริหาร นักวิชาการ ครูอาจารย์
1. ฝ่ายผู้รับผิดชอบสร้างแผนที่ เช่น นักธรณีวิทยา   ผู้รับผิดชอบผังเมือง
2. รูปแบบประเมินความต้องการ(Need Assessments)
2. เครื่องหมายแสดงทิศ
3. พันธกิจ เป้าหมาย วิสัยทัศน์
3. สถานที่ หรือจุดหมายในการเดินทาง
4. รายละเอียดหลักสูตร
4. รายละเอียดแผนภาพ
5. คณาจารย์ นักเรียน ผู้เกี่ยวข้องนำไปใช้
5. ผู้ใช้แผนที่นำไปใช้
6. สรุป และประเมินผล
6. การเดินทางสู่เป้าหมาย



          หลักสูตรเปรียบได้กับการขับรถยนต์ไปสู่จุดหมายปลายทาง

กระบวนการพัฒนาหลักสูตรของทาบา (Taba)
ส่วนประกอบในการผลิตรถยนต์
1.  วินิจฉัยความต้องการ : สำรวจสภาพปัญหา ความต้องการ และความจำเป็นต่างๆ ของสังคม และผู้เรียน
รถยนต์เปรียบเสมือนการผลิตตามความต้องการของผู้ใช้รถยนต์ เสมือนการพัฒนาหลักสูตร ต้องมีการศึกษาอย่างหลากหลาย เช่น ความต้องการของผู้เรียน สังคม แนวคิดและปรัชญาทางการศึกษา  ปรัชญาทางสังคม  ทฤษฎีการเรียนรู้
2.  กำหนดจุดมุ่งหมาย : หลังจากได้วินิจฉัยความต้องการของสังคมและผู้เรียนแล้วจะกำหนดจุดมุ่งหมายที่ต้องการให้ชัดเจน
พวงมาลัยเปรียบเสมือนกับการนำพารถยนต์ให้สู่ที่หมายปลายทาง เสมือนเป็นกิจกรรมที่ใช้ในการพัฒนาผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ตามคุณลักษณะอันพึงประสงค์ที่ตั้งไว้
3.  คัดเลือกเนื้อหาสาระ : จุดมุ่งหมายที่กำหนด แล้วจะช่วยในการเลือกเนื้อหาสาระให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมาย วัย ความสามารถของผู้เรียน โดยเนื้อหาต้องมีความเชื่อถือได้ และสำคัญต่อการเรียนรู้
วิทยุเครื่องเสียงติดรถยนต์เปรียบเสมือนกับการรับฟังข้อมูลข่าวสารที่เหมาะสมกับวัย สไตล์ บุคลิกของแต่ละคน เสมือนเป็นกิจกรรมที่ใช้ในการกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ  มีความกระตือรือร้น
4.  จัดเนื้อหาสาระ : เนื้อหาสาระที่เลือกได้ ยังต้องจัดโดยคำนึงถึงความต่อเนื่อง และความยากง่ายของเนื้อหา วุฒิภาวะ ความสามารถ และความสนใจของผู้เรียน
ลำโพงรถยนต์เปรียบเสมือนกับระดับการฟังข้อมูลข่าวสารที่ต่อเนื่องชัดเจน โดยมีวิทยุเป็นสื่อกลางการรับข้อมูลข่าวสารนั้น เสมือนการพัฒนาหลักสูตรในแต่ละหลักสูตรต้องมีจุดเด่นที่น่าสนใจ
5.  คัดเลือกประสบการณ์การเรียนรู้ : ครูผู้สอนหรือผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องคัดเลือกประสบการณ์การเรียนรู้ให้สอดคล้องกับเนื้อหาวิชา และจุดมุ่งหมายของหลักสูตร
คันเร่งเปรียบเสมือนกับการขับรถยนต์บนท้องถนนโดยใช้ระดับการขับตามประสบการณ์และความสามารถของผู้ขับเป็นสำคัญ เสมือนผลของการนำหลักสูตรไปใช้ที่เกิดกับผู้เรียน จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่หลักสูตรกำหนด และสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
6.  จัดประสบการณ์การเรียนรู้ : ประสบการณ์การเรียนรู้ควรจัดโดยคำนึงถึงเนื้อหาสาระและความต่อเนื่อง
เกียร์เปรียบเสมือนกับการเข้าจังหวะความต่อเนื่องในการขับขี่รถยนต์ เสมือนกิจกรรมการเรียนการสอนที่มุ่งเน้นให้นักเรียนเกิดทักษะ   กิจกรรมเน้นกระบวนการคิด   ใช้เทคนิควิธีการอย่างหลากหลาย
7.  กำหนดสิ่งที่จะประเมินและวิธีการประเมินผล : ตัดสินใจว่าจะต้องประเมินอะไรเพื่อตรวจสอบผลว่าบรรลุตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้หรือไม่ และกำหนดด้วยว่าจะใช้วิธีประเมินผลอย่างไร ใช้เครื่องมืออะไร
ผู้ขับรถยนต์เปรียบเสมือนกับผู้ที่นำรถยนต์ไปสู่จุดหมายปลายทางที่ตนเองมุ่งหวังไว้ เสมือนการพัฒนาหลักสูตร ผู้พัฒนาต้องมีการวางแผน จัดองค์ประกอบหลักสูตรต่าง ๆ เช่น จัดเตรียมเนื้อหา เตรียมการจัดประสบการณ์ต่างๆ  จัดเตรียมเอกสารหลักสูตร ฯลฯ  และดำเนินการนำหลักสูตรโดยไปใช้  โดยใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ อย่างหลากหลาย เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุตามจุดมุ่งหมายที่หลักสูตรกำหนด



4. แลกเปลี่ยนแนวคิดกับเพื่อนนักศึกษา หรือผู้รู้ในประเด็น กฎหมายการศึกษา ที่เรียกว่า พระราชบัญญัติการศึกษา การศึกษา และการพัฒนาแนวคิดจากต่างประเทศ
ตอบ    ภาพรวมอิทธิพลของต่างประเทศที่มีต่อการจัดการศึกษาไทย -- การจัดการศึกษายุคพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว -- การจัดการศึกษายุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง – การจัดการศึกษายุค        โลกาภิวัตน์ การวิจัยครั้งนี้ได้ทำการวิจัยโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาอิทธิพลของต่างประเทศที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงแนวคิดทางการศึกษาของไทย 2) นำเสนอนโยบายในการพัฒนาการศึกษาของไทยในอนาคต โดยศึกษาเฉพาะอิทธิพลของประเทศตะวันตกเท่านั้น และได้ศึกษาถึงพัฒนาการการจัดการศึกษาของประเทศไทยใน 3 ช่วงระยะเวลาคือ ยุคของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองและยุคโลกาภิวัตน์ สำหรับอิทธิพลทางการศึกษาของต่างประเทศที่ส่งผลกระทบต่อการจัดการศึกษาของประเทศไทยนั้น ได้ศึกษาผลกระทบใน 3 ด้านคือ ด้านปรัชญาและแนวคิดทางการศึกษา ด้านกระบวนการจัดหลักสูตรและการสอนต่างๆ และด้านการบริหารจัดการศึกษา ด้วยระเบียบวิธีวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ ซึ่งได้ผลสรุปดังนี้ ปรัชญาและแนวคิดทางการศึกษาของไทยได้รับอิทธิพลมาจากประเทศตะวันตกตั้งแต่สมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งในขณะนั้นได้รับอิทธิพลมาตามกระแสการคุกคามของประเทศตะวันตกที่ต้องการขยายอำนาจ ตลอดจนพ่อค้า นักผจญภัย และหมอสอนศาสนา ซึ่งส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านปรัชญาและแนวคิดทางการศึกษา ที่มีทั้งผลดีและผลเสีย ได้แก่ การผลิตคนเข้ารับราชการได้ตามความต้องการของประเทศ แต่ก็ยังผลให้เกิดภาวะคนล้นงาน เพราะทุกคนมุ่งจะศึกษาเล่าเรียนเพื่อเข้ารับราชการ จนละทิ้งอาชีพและถิ่นฐานเดิมของตน จนภายหลังก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงปรัชญาและแนวคิดทางการศึกษา ซึ่งก็ได้อิทธิพลส่วนใหญ่มาจากอังกฤษและญี่ปุ่น ที่มีการพัฒนาการศึกษาตามแบบตะวันตก ซึ่งมุ่งเน้นให้ประชาชนมีการเรียนวิชาชีพเพื่อสามารถพึ่งพาตนเองได้ และแก้ปัญหาคนล้นงาน ต่อมาในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 การจัดการศึกษาแบบอเมริกาได้มีบทบาทสำคัญต่อการศึกษาไทยโดยเฉพาะแนวคิดแบบพิพัฒนาการของ John Dewey ที่ยึดความสนใจของเด็กเป็นหลัก เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญได้ถูกนำมาใช้ในโรงเรียน ตลอดจนแนวคิดการศึกษาตลอดชีวิตและขององค์การยูเนสโกได้เข้ามาสู่ประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทย มหาวิทยาลัยสมบูรณ์แบบเป็นอีกแนวคิดหนึ่งที่ได้รับมาจากองค์การยูเนสโก ยังผลให้เกิดการจัดตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ขึ้นมา และอีกหลายแนวคิดที่ได้มีการนำไปใช้ในมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศ เมื่อเข้าสู่ยุคโลกาภิวัฒน์ แนวคิดการเรียนรู้หรือการศึกษาตลอดชีวิตของ John Dewey และสังคมแห่งการเรียนรู้ (Learning Society) อันเป็นแนวคิดทฤษฎีของ Ivan Illich ได้กลับมาเป็นแนวคิดที่สำคัญในการจัดการศึกษาของประเทศต่างๆทั่วโลก ทำให้หลายๆประเทศต่างหันมาทำการปฏิรูปการศึกษา เพื่อการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและเป็นการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้โดยมีการนำแนวคิดการศึกษาเพื่อปวงชน (Education for all) และการให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา (All for education) โดยที่ประเทศไทยเองได้มีพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 เกิดขึ้นซึ่งถือได้เป็นรูปธรรมของการปฏิรูปการศึกษาในประเทศ การจัดหลักสูตรและการเรียนการสอนในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น เป็นการจัดการศึกษาด้วยความต้องการที่จะรักษาบ้านเมืองให้รอดพ้นจากภัยคุกคามของต่างประเทศ จึงได้มีการจัดการเรียนการสอนโดยเน้นเนื้อหาความรู้เป็นหลัก และเห็นว่าการท่องจำจะทำให้ผู้เรียนนั้นฉลาดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองการจัดการศึกษาจะได้รับความช่วยเหลือจากต่างประเทศในการให้การสนับสนุนให้มีโครงการทางการศึกษาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นองค์การยูเนสโก องค์การไอซีเอ ยูซอม และธนาคารโลก ที่คอยให้ความช่วยเหลือด้านการจัดการเรียนการสอน สื่อ อุปกรณ์ และทุนการศึกษา เมื่อเข้าสู่ยุคโลกาภิวัฒน์ การจัดหลักสูตรและการเรียนการสอนจะเป็นการจัดหลักสูตรที่ยึดแนวทาง “ผู้เรียนเป็นสำคัญ” และ “การเรียนรู้ตลอดชีวิต” ทั้งยังจัดหลักสูตรเพื่อให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ และเป็นการเพิ่มศักยภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนสองภาษา โรงเรียนวิทยาศาสตร์ เป็นต้น นอกจากนี้ก็ยังมีการนำเอาวิธีการจัดการเรียนการสอนของต่างประเทศเข้ามาใช้ อันได้แก่ โรงเรียนแนวเร็กจิโอ เอมิเลีย เป็นต้น การบริหารจัดการศึกษาของประเทศไทยนั้นได้รับอิทธิพลภายนอกประเทศมากพอสมควร ตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่เกิดจากการคุกคามทางการทหารและการเมืองของจักรวรรดินิยมตะวันตก จนทำให้ต้องมีการปรับปรุงการบริหารจัดการศึกษาให้มีประสิทธิภาพโดยในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น จะเป็นการบริหารจัดการศึกษาที่พยายามรวมหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับทางการศึกษาให้อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานเพียงหน่วยงานเดียว จนเกิดเป็นกรมธรรมการขึ้นมา ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองการสนับสนุนจากองค์การต่างประเทศยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงด้านการบริหารจัดการศึกษาระดับปฐมศึกษาของไทย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในครั้งนั้นคือการโอนกิจการบริหารโรงเรียนประชาบาลขององค์การบริหารส่วนจังหวัดและโรงเรียนประถมศึกษาของกรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ไปเป็นของสำนักงานคณะกรรมการประถมศึกษา และในส่วนของการศึกษาระดับอุดมศึกษาได้มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยต่างๆ และมีการพัฒนาคณาจารย์โดยได้รับทุนการศึกษาจากองค์กรต่างๆ เช่น มูลนิธิฟูลไบร์ท องค์การยูเสด มหาวิทยาลัยอินเดียนาของประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้จำนวนคณาจารย์ในมหาวิทยาลัยต่างๆ เพิ่มอย่างต่อเนื่องและเป็นปัจจัยที่ทำให้มหาวิทยาลัยสามารถขยายการจัดการศึกษาถึงระดับบัณฑิตศึกษาได้อย่างจริงจัง จนมาถึงยุคโลกาภิวัฒน์ก็ได้เกิดการปฏิรูปการบริหารจัดการศึกษาที่มุ่งเน้นให้มีการกระจายอำนาจการบริหารจัดการศึกษาให้มีความทั่วถึง และเกิดการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการจากหน่วยงานท้องถิ่น ชุมชน องค์กรต่างๆ ตลอดจนมีการประกันคุณภาพการศึกษา ซึ่งเป็นแนวทางในการบริหารจัดการศึกษาที่หลายๆ ประเทศได้ใช้ในการปฏิรูปการศึกษาในปัจจุบัน นโยบายการพัฒนาการศึกษาไทยในอนาคต ได้แก่ การนำเอาปรัชญาทางการศึกษาจากต่างประเทศมาใช้โดยเฉพาะเรื่องนักเรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ ควรสร้างความชัดเจนในการจัดการเรียนรู้โดยให้เกิดกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกๆ ฝ่าย และควรได้เรียนรู้ด้วยประสบการณ์ที่ได้จากการปฏิบัติ ด้วยบุคลากรที่มีคุณภาพและได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามบริบททางการศึกษาของแต่ละแห่ง ปรัชญาแนวคิดในเรื่องของการศึกษาตลอดชีวิตถึงได้ว่าเป็นแนวคิดที่ถูกต้อง รัฐบาลจำเป็นอย่างยิ่งที่จะให้ความสนับสนุนและกระตุ้นให้เกิดความต้องการในการพัฒนาตนเองของประชาชนในทุกๆ ระดับ ทั้งทางด้านวิชาการและในส่วนของวิชาชีพต่างๆ อย่างจริงจังตลอดจนการให้โอกาสทางการศึกษา เพื่อให้เกิดการพัฒนาในทุกระดับ สำหรับการประกันคุณภาพการศึกษาเป็นการปฏิรูปการศึกษาที่น่าจะต้องใช้บุคลากรทางการศึกษาที่มีความรู้ ความสามารถทั้งทางด้านการพัฒนาหลักสูตร มาตรฐานการศึกษา สื่อการเรียนการสอน การวัดและประเมินผล สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ทันกับยุคลสมัย เพื่อให้เกิดการพัฒนาบุคลากรที่มีทั้งความสามารถและคุณธรรม จริยธรรม อันจะช่วยเหลือประเทศชาติให้เข้าแข่งขันกับประเทศต่างๆ บนเวทีโลกได้ และการพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาอย่างต่อเนื่องจะทำให้ระบบการศึกษามีคุณภาพมากยิ่งขึ้น ในเรื่องของการโอนการบริหารจัดการศึกษาให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยตรงนั้น ควรมีการกำหนดความสัมพันธ์กับเขตพื้นที่การศึกษา และมีบุคลากรทางด้านวิชาชีพการศึกษาตลอดจนมีความร่วมมือกับองค์กรอื่นๆ ในท้องถิ่นอย่างแท้จริง การจัดการศึกษาของประเทศไทยจำเป็นต้องจัดการศึกษาให้มีความครอบคลุมและรอบรู้ในทุกๆ ด้าน สำหรับการเรียนรู้ผ่านสื่ออินเทอร์เน็ตไม่ได้มีเพียงแต่เนื้อหาวิชาความรู้ที่เป็นประโยชน์เท่านั้น หากแต่ยังมีข้อมูลข่าวสารบางส่วนที่ไม่เหมาะสมและอาจส่งผลให้เกิดวัฒนธรรมและค่านิยมที่ผิดๆ อันจะส่งผลเสียแก่ผู้เรียนโดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น ดังนั้นรัฐและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องควรมีการวางกรอบและแนวทางในการป้องกันไม่ให้ข้อมูลข่าวสารบางอย่างที่ไม่เหมาะสม มีอิทธิพลต่อผู้เรียนจนทำให้เกิดเป็นปัญหาสังคมขึ้นได้ เงินอุดหนุนงบประมาณแผ่นดิน ปี 2546

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น